จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าในปี
พ.ศ. 2555 ประเทศไทยเรามีประชากรประมาณ 65
ล้านคน
โดยแบ่งเป็นประชากรในวัยทำงานร้อยละ 60 ประชากรในวัยเด็กร้อยละ 25
และประชากรในวัยสูงอายุร้อยละ
15 ซึ่งปัจจุบันนับว่าประเทศไทยเราก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว
เริ่มมีการตื่นตัวในการปรับตัวให้เข้ากับสังคมผู้สูงอายุไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน
การให้บริการด้านสาธารณสุข
การรวมกลุ่มเพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีโอกาสพบพูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการปรับตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
แต่ยังมีประชากรอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเติบโตขึ้นมาเพื่อเป็นกำลังหลักของประเทศในอนาคตและกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็ว
นั่นคือประชากรวัยเด็กซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเกือบ 1 ใน 4
ของประชากรทั้งประเทศ
จากการที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมมากขึ้น
ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคมไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการบริโภค
จากในอดีตปัญหาด้านโภชนาการของคนไทยที่พบบ่อยคือโรคขาดสารอาหารแต่ในปัจจุบันเราพบว่าปัญหาโภชนาการที่น่าเป็นห่วงสำหรับคนไทยคือภาวะโภชนาการเกินหรือโรคอ้วนนั่นเอง
สาเหตุมาจากการดำเนินชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลงไป
การทำงานที่ไม่เอื้อให้มีการเคลื่อนไหวของร่างกายมากนัก
ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การทานอาหารภายในระยะเวลาที่จำกัดและส่วนมากจะเป็นการทานอาหารตามร้านอาหารมากกว่าการทำอาหารทานเองที่บ้าน
สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพของประชากรในวัยทำงานเท่านั้นแต่ประชากรวัยเด็กก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากรายงานของการสาธารณสุขไทย 2548-2550
พบว่าในช่วงปี
พ.ศ. 2526 ถึง พ.ศ. 2549
พบว่าประชากรไทยมีแนวโน้มการบริโภคน้ำตาลหรืออาหารที่ประกอบด้วยน้ำตาลและแป้งเพิ่มมากขึ้นจาก
12.7 กิโลกรัม/คน/ปี ในปี พ.ศ. 2526
เป็น 33.2
กิโลกรัม/คน/ปี
ในปี พ.ศ. 2549 สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคของเด็กไทยที่เปลี่ยนไปทานอาหารหรือขนมที่มีรสหวานมากขึ้น
ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติครั้งที่
6 (พ.ศ. 2550) พบว่าในเด็กอายุ
3 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่มีฟันน้ำนมขึ้นครบ
20 ซี่ มีเด็กที่เป็นโรคฟันผุถึงร้อยละ 61.37
โดยมีค่าเฉลี่ยฟันผุถอนอุดเท่ากับ 3.21 ซี่ต่อคน
ในเด็กกลุ่มอายุ 5 ปี
เป็นโรคฟันผุร้อยละ 80.64 มีค่าเฉลี่ยฟันผุถอนอุดเท่ากับ 5.43 ซี่ต่อคน
ซึ่งแนวโน้มการเกิดฟันผุในเด็กไทยก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งเด็กที่มีปัญหาโรคฟันผุมากจะทำให้ระบบบดเคี้ยวอาหารไม่มีประสิทธิภาพ
ส่งผลต่อการพัฒนาทั้งด้านการเจริญเติบโตของร่างกายและการพัฒนาระบบประสาทและสมองด้วย
การสำรวจสถานะสุขภาพประชากรไทย
ปี 2540 ถึง ปี 2544 พบว่า
เด็กก่อนวัยเรียนอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 เป็นร้อยละ 7.9 ส่วนเด็กวัยเรียนอายุ
6-13 ปี
อ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8
เป็นร้อยละ
6.7
นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ข้อมูลน้ำหนักและส่วนสูงของเด็กชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่
6 จำนวน 47,389 คน
ในโรงเรียนประถมศึกษาในเขตเมืองทั่วประเทศจำนวน 268 โรงเรียน
ในปี 2548 พบว่า มีเด็กอ้วนร้อยละ 12
บางโรงเรียนในภาคกลางมีเด็กอ้วนถึงร้อยละ 25
ผลการสำรวจภาวะโภชนาการของเด็กไทยในวัยเรียน
จากสถาบันโภชนาการ ม.มหิดล ปี 2552 พบว่า
ภาพรวมเด็กช่วงชั้นอนุบาล และประถมฯ ส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 8.3 และ 7.73 ตามลำดับ
เด็กอายุ 0-5 ปี
มีภาวะอ้วนร้อยละ4.0 เด็กอายุ 6-14 ปีในเขตเมืองพบภาวะอ้วนร้อยละ 9.5 เยาวชนในเขตเมืองอายุ 15-18 ปี
พบภาวะอ้วนร้อยละ 17.7
นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2558 จะมีเด็กก่อนวัยเรียนที่มีภาวะอ้วนถึง
1 ใน 5
และเด็กวัยเรียนมีภาวะอ้วน 1 ใน 10
ของเด็กกลุ่มดังกล่าว
ซึ่งเด็กที่มีภาวะอ้วนเหล่านี้หากไม่ได้รับการดูแลด้านโภชนาการที่ถูกต้องเมื่อโตขึ้นก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีภาวะอ้วน
ทำให้เสี่ยงต่อโรคต่างๆ มากขึ้น เช่น โรคหัวใจ ความความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
โรคไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น
จึงได้มีการเสนอรูปแบบของการ
“กินเป็น” เพื่อเป็นเกราะป้องกันภัยอ้วนให้กับเด็กทั้งก่อนวัยเรียนและในวัยเรียน
เช่น ให้เด็กทานอาหารให้เป็นเวลา
กำหนดเวลาทานอาหารให้เด็กประมาณ 30 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่เพียงพอต่อการทานอาหารให้อิ่ม
สร้างมารยาทในการทานอาหาร
พ่อและแม่ต้องพยายามจัดอาหารให้หลากหลายเพื่อให้เด็กได้ทดลองทานอาหารใหม่ๆ
ไม่ควรใช้วิธีบังคับให้ทานอาหารที่เด็กไม่ชอบ ควรใช้วิธีประนีประนอม และที่สำคัญพ่อและแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการรับประทานอาหารให้แก่เด็กๆ
สุดท้ายยังมีอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยไม่ให้เด็กมีภาวะอ้วนได้
นั่นคือการออกกำลังกาย โดยให้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 30 นาที
อย่างน้อย 3-4 วันต่อสัปดาห์
ทพ. กฤษดาพันธ์ จันทนะ
ฝ่ายทันตสาธารณสุข รพร.ด่านซ้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น